วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

หน่วยที่ 8 การนำหลักธรรมในพระพุทธศาสนามาใช้เพื่อพัฒนาชีวิตและการทำงาน


การนำหลักธรรมใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต
การพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยหลักธรรม หมายถึงการนำหลักธรรมของพระพุทธศาสนามาปฏิบัติเพื่อให้มีคุณภาพชีวิต คือ ความสามารถในการดำรงชีวิตด้วยคุณภาพและจริยธรรมสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ มีความสามารถในการทำงาน ประกอบอาชีพสุจริต มีความมั่นคง มีศักยภาพในการแก้ปัญหา โดยยึดหลักไตรสิกขา ซึ่งประกอบด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ดังนี้
1. ศีล คือ การฝึกฝนพัฒนาทางด้านพฤติกรรม ศีลแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1.1 ปาฎิโมกข์สังวร คือ การรักษาวินัยในชุมชน เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยความเป็นระเบียบ การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ความสามัคคี ความรับผิดชอบ
1.2 อินทรียสังวร คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์ เกิดปัญญา
1.3 อาชีวปาริสุทธิ คือการประกอบอาชีพสุจริต เป็นพฤติกรรมหลักในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ เป็นประโยชน์ต่อสังคม
1.4 ปัจจัยปฏิเสวนา คือการเสพ บริโภค ด้วยปัญญา พัฒนาพฤติกรรมในการเสพบริโภค ไม่ก่อให้เกิดปัญหาต่อชีวิต สังคมและสิ่งแวดล้อม
2. สมาธิ หมายถึง การฝึกฝนพัฒนาในด้านจิตใจ มีความสุขสงบ ละเอียดลึกซึ้ง นำไปสู่การพัฒนาตนในด้านต่างๆดังนี้
2.1 พัฒนาคุณธรรม ทำให้จิตใจมีความดีงาม มีความเมตตากรุณา มีความรักความปรารถนาดี อยากให้ผู้อื่นมีความสุข
 2.2 พัฒนาจิตใจ การฝึกฝนพัฒนาจิตใจทำให้มีความเข้มแข็ง หนักแน่น มีความใฝ่รู้อย่างสร้างสรรค์ ใฝ่ดี มีความเพียร
2.3 พัฒนาความสุข ทำให้เป็นคนสดชื่นเบิกบานใจ อิ่มใจ เกิดความสงบเย็น เกิดความผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ
3. ปัญญา หมายถึง ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องตามความเป็นจริง การพัฒนาปัญญาทำให้เกิดความรับรู้ที่ถูกต้องตามความเป็นจริง การพัฒนาปัญญาถือว่ามีความสำคัญสูงสุด และยังเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะปัญญาเป็นเครื่องนำทาง ควบคุมพฤติกรรม และจิตใจ ปัญญามีความสำคัญดังนี้
3.1 ปัญญาที่ช่วยในการดำเนินชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีความรู้ ความเข้าใจเกิดการเรียนรู้ตามความถูกต้อง
3.2 ปัญญานำไปสู่ชีวิตที่ถูกต้องดีงาม ทำให้เกิดความเข้าใจในเรื่องต่างๆอย่างถูกต้อง
3.3 ปัญญาช่วยบรรลุจุดหมายสูงสุดของชีวิต ทำให้จิตใจหลุดพ้น เป็นอิสระและศานติสุขพระราชวรมนุ ได้แบ่งปัญญาออกเป็น 3 ประการ คือ
1. สุตมยปัญญา หมายถึง ความรอบรู้ ที่รู้จริง รู้ลึก และรู้รอบ ด้วยการรับข้อมูลจากแหล่งต่างๆ
2. จินตามยปัญญา หมายถึง ความรอบรู้จากการคิดวิเคราะห์ข้อมูล สามารถคิดได้ถูกต้องตามความเป็นจริง
3. ภาวนามยปัญญา หมายถึง ความรู้ที่เกิดจากการลงมือปฏิบัติหรือเกิดจากประสบการณ์ในการลงมือทำ
ปัญญาวุฑฒิ คือ การพัฒนาปัญญา ประกอบด้วย
1. สัปปุริสสังเสวะ คือ การคบคนดี หมายถึง บุคคลที่เป็นกัลยาณมิตร บิดา มารดา ครู อาจารย์ ญาติพีน้อง
2. สัทธัมมัสสวนะ คือ การศึกษาคำสอนของคนดี ศึกษาหาความรู้จากแหล่งข้อมูลที่ดี
3. โยนิโสมนสิการ คือ การคิดอย่างแยบคาย หรือคิดตามแนวทางปัญญา การคิดอย่างแยบคาย สรุปได้
4 ประการ ดังนี้
3.1 อุปปายมนสิการ คือ การคิดถูกวิธี ด้วยวิธีคิด วิธีวิจัยอย่างถูกต้อง
3.2 ปถมนสิการ คือ การคิดมีระเบียบ เป็นการคิดที่ตรงจุดหมายไปยังวัตถุประสงค์หลัก
3.3 กรณมนสิการ คือ การคิดอย่างมีเหตุผล สามารถเชื่อมโยงเหตุและผลได้
3.4 อุปปาทกมนสิการ คือ การคิดเป็นกุศล เป็นการคิดหาส่วนที่ดีมีประโยชน์
4. ธัมมานุธัมมปฏิบัติ คือ การนำความรู้จากทฤษฎีมาสู่การปฏิบัติ จนสามารถปฏิบัติได้อย่างเชี่ยวชาญ
ฆารวาสธรรม 4ในการดำเนินชิตครอบครัวให้มีความสุข มีความสำคัญต่อสังคมอย่างมากเพราะครอบครัวมีหน้าที่สร้างสมาชิกเข้าสู่สังคมมีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตอย่างเพียงพอและเหมาะสม การดำเนินชีวิตคู่ให้มีความสุข ต้องมีหลักธรรมสำหรับการครองเรือนตามหลักฆารวาสธรรม 4 ประการ คือ
1. สัจจะ หมายถึง ความซื่อตรงต่อกัน สามีภรรยาต้องมีความจริงใจต่อกันเป็นพื้นฐานของชีวิตรักต้องไม่ประพฤติตนเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ มีความจริงใจต่อกันทั้งต่อหน้าและลับหลัง
2. ทมะ หมายถึง การรู้จักข่มใจของตน หรือการควบคุมอารมณ์ เมื่อเกิดเรื่องกระทบกระทั่งภายในครอบครัว
3. ขันติ หมายถึงความอดทนซึ่งเมื่อเผชิญปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นต้องมีใจเข้มแข็งหนักแน่น
อีกทั้งต้องอดทนต่อความยากลำบากในการทำงานประกอบอาชีพ ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบากจนประสบความสำเร็จในการทำงาน
4. จาคะ หมายถึง การสละซึ่งสิ่งของแก่คนที่ควรให้ การใช้ชีวิตร่วมกัน ต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจใจที่ดี มีความเสียสละ เอื้ออารีต่อคนในครอบครัว สามารถสละความสุขส่วนตัวให้แก่ครอบครัวได้การนำหลักธรรมมาใช้เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการทำงานพระครูวินัยธร วัลลภ โกวิโล  ได้กล่าวถึงหลักธรรมที่ปฏิบัติแล้วทำให้เกิดความสำเร็จในการทำงาคือ อิทธิบาท 4 มีองค์ประกอบ 4 ด้านคือ
1. ฉันทะ หมายถึง ความพอใจ ความรักในการทำงาน เป็นผลให้เกิดความพอใจ ความตั้งใจในการปฏิบัติงาน การเอาใจใส่ระมัดระวัง การอุทิศเวลาเพื่อให้งานที่ตนทำมีคุณค่า
2. วิริยะ หมายถึง ความเพียรพยายามที่จะทำงานให้ประสบความสำเร็จด้วยความมีกำลังใจเข้มแข็ง
3. จิตตะ หมายถึง การใฝ่ใจในการทำงาน มีความรับผิดชอบ การเอาใจใส่ ทำให้เกิดความตั้งใจในการทำงาน
4. วิมังสา หมายถึง การพิจารณาโดยรอบด้าน มีการใช้ความคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องการทำงาน ค้นหาวีที่ดีที่สุดในการทำงาน
อธิษฐานธรรม 4
เป็นหลักธรรมที่เสริมสร้างความสำเร็จในการทำงานตามความมุ่งหวังเป็นคุณธรรมที่ใช้ปัญญา โดยการนำความรู้ความเข้าใจในการทำงาน มีการใช้วิจารณญาณด้วยความสุขุมรอบคอบ และทักษะในการปฏิบัติงานทำให้ผลงานมีประสิทธิภาพอธิษฐานธรรม 4 ประกอบด้วย
1. ปัญญา คือ ความรู้ความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง
2. สัจจะ หมายถึง ความจริง เป็นคุณธรรมที่ควรยึดถือเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิต
3. จาคะ หมายถึง ความเสียสละซึ่งเป็นคุณธรรมที่ถือปฏิบัติยาก เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่มักเห็นแก่ตัว การที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่น สละความสุขตนเองเพื่อให้คนอื่นมีความสุขทำให้ความเห็นแก่ตัวลดลง
4. อุปสมะ คือ ความสงบ หรือความสามรถในการระงับความขัดแย้ง เศร้าหมองภายในจิตใจ ขจัดสิ่งที่ทำให้จิตใจขุ่นมัวการนำหลักทำมาใช้เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นการที่สังคมมีสถานภาพมั่นคงมีความสมานสามัคคี เกิดความร่วมมือร่วมใจเพื่อให้สมาชิกอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้นั้น ย่อมเกิดจากพฤติกรรมของสมาชิกภายในสังคมที่มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และสามารถปรับตนให้มีความสุขกับสภาพแวดล้อมที่ตนดำรงชีวิตหลักธรรมที่สร้างความสัมพันธ์ของบุคคลภายในสังคม ได้แก่
สาราณียธรรม 6 หมายถึง ธรรมอันเป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน  ทำให้เกิดความเคารพนับถือและมีสัมพันธภาพที่ดีในการอยู่ร่วมกัน
1. เมตตากายกรรม คือ การที่บุคคลปฏิบัติต่อกันด้วยความเมตตา
2. เมตตาวจีกรรม คือ การสื่อสารทางวาจาด้วยเมตตา
3. เมตตามโนกรรม คือ มีจิตใจหรือมีหรือมีความคิดที่เมตตาต่อบุคคลอื่น
4. สาธารณโภคี คือ การแบ่งปันทรัพย์สิน ซึ่งเป็นการเกื้อกูลช่วยเหลือผู้อื่น
5. สีลสามัญญตา หมายถึง การประพฤติตามกฎเกณฑ์ หรือตามระเบียบวินัย
6. ทิฏฐิสามัญญตา หมายถึง การมีความเห็นร่วมกับผู้อื่น
พรหมวิหาร 4
พรหมวิหาร 4 เป็นคุณธรรมที่ผดุงรักษาสังคมมนุษย์ให้ดำรงอยู่ได้ด้วยดี เพราะมนุษย์ทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบต่อสังคมพรหมวิหาร 4 ประกอบด้วย
1. เมตตา คือ ความรักความปรารถนาดีอยากให้ผู้อื่นเป็นสุข
2. กรุณา คือ ความสงสารเห็นใจ ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
3. มุทิตา คือ ความชื่นชมยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีมีความสุข
4. อุเบกขา แปลว่า คอยดูหรือคอยมอง คือ การวางเฉย และพร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือเมื่อเกิดการเพลี่ยงพล่ำขึ้น
สังคหวัตถุ 4
สังคหวัตถุ 4 เป็นคุณธรรมที่คู่กับพรหมวิหาร 4 จัดว่าเป็นคุณธรรมภายในเมื่อมีการแสดงออกในระดับพฤติกรรม ต้องใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ซึ่งมีความหมายว่า การสังเคราะห์ การรวมเข้าด้วยกัน จัดว่าเป็นหลักธรรมในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ประกอบด้วย
1. ทาน หมายความว่า การให้ การเผื่อแผ่แบ่งปัน การที่มนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นสังคม ต้องมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
1.1 อามิสทาน การให้ทรัพย์สินหรือสิ่งของแก่บุคคลที่อยู่ในความเดือดร้อน การให้รางวัลเพื่อขวัญกำลังใจ หรือการแสดงน้ำใจ
1.2 วิทยาทาน หรือธรรมทาน คือ การให้ความรู้ หรือคำแนะนำอันเป็นประโยชน์ต่อชีวิตและการทำงาน
1.3 อภัยทาน หมายถึง การให้อภัย ในการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ย่อมมีการกระทำที่มีผลกรทบต่อกัน
2. ปิยวาจา หมายถึง การพูดจาไพเราะ น่าฟัง ด้วยความปรารถนาดีที่มีต่อกัน
3. อัตถจริยา หมายถึง การทำตนให้เป็นประโยชน์ ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของตนและประโยชน์ของคนอื่น
4. สมานัตตตา หมายถึง การวางตนสม่ำเสมอ สามารถวางตัวได้เหมาะสมถูกกาลเทศการใช้หลักธรรมเพื่อแก้ปัญหาและดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขการนำหลักธรรมมาใช้ในการแก้ปัญหาจากความทุกข์
สาเหตุแห่งปัญหา
1. ด้านเศรษฐกิจ เกิดจากการล่มสลายทางเศรษฐกิจ และการกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรม รายได้ไม่พอกับรายจ่าย
2. ด้านสังคม การแข่งขันกันในการทำงาน การดำเนินชีวิต การมุ่งที่จะสร้างฐานะทางเศรษฐกิจ ทำให้ละเลยการมีชีวิตที่เรียบง่าย
3. ด้านครอบครัว ครอบครัวเป็นสังคมหน่วยย่อยที่เป็นรากฐานของสังคม ถ้าปัญหาเกิดขึ้นในครอบครัว ย่อมส่งผลกระทบถึงสังคมในที่สุด
4. ด้านสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดความทุกข์ ความเครียด และปัญหาด้านสุขภาพอริยสัจ 4 หลักธรรมในการแก้ปัญหาให้พ้นจากความทุกข์
1. ทุกข์ คือ การกำหนดรู้ทุกข์
2. สมุทัย คือ การค้นหาสาเหตุของปัญหาที่ทำให้เกิดความทุกข์
3. นิโรธ คือ การพิจารณาเพื่อดับทุกข์
4. มรรค คือ หนทางดับทุกข์ได้แก่ มรรถ 8 ประการ คือ
4.1 สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็น หรือความเชื่อที่มีเหตุผล
4.2 สัมมาสังกัปปปะ คือ ความดำระชอบ ความคิดที่ดีงาม
4.3 สัมมาวาจา คือ วาจาชอบ
4.4 สัมมากัมมันตะ คือ การกระทำชอบ
4.5 สัมมาอาชีวะ คือ การเลี้ยงชีพชอบ
4.6 สัมมาวายามะ คือ ความเพียรชอบ
4.7 สัมมาสติ คือ ความระลึกชอบ การมีสติตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาท
4.8 สัมมาสมาธิ คือ ความตั้งมั่นด้วยจิตชอบ คือความมั่นคงของจิตต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
หลักธรรมในการดำเนินชีวิตให้มีความสุขความสุขในทัศนะของพระพุทธศาสนาเกิดจากการดำรงชีวิตที่ถูกต้อง ตามหลักธรรมชาติทั่วไปของโลกและความเป็นจริงแห่งชีวิต มีความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมเหตุผลว่าสิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัย มิได้เป็นไปตามความต้องการของมนุษย์
คฤหัสถ์ 4
คฤหัสถ์ 4 เป็นความสุขของผู้ครองเรือน ประกอบด้วย
1. อัตถิสุข คือ ความสุขจากการมีทรัพย์ ซึ่งมาจากความพากเพียร อุตสาหะในการประกอบกิจการ
2. โภคสุข คือ ความสุขจากการใช้จ่ายทรัพย์ที่หามาได้ เพื่อประโยชน์ของตนในการใช้จ่ายเพื่อดำรงชีวิต

3. อนวัตสุข คือ ความสุขที่เกิดจากประพฤติสุจริต จัดว่าเป็นความสุขที่สูงสุด และมีความสุขมากที่สุดของหลักธรรมคฤหัสถ์ 4 การประพฤติสุจริตทั้งกาย วาจา ใจ

หน่วยที่ 7 ความหมายและความสำคัญของการบริหารงาน


การบริหาร คือกระบวนการทำงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของบุคคลและกลุ่ม ผู้บริหารเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวของงานที่เกิดขึ้น

ความสำคัญของการบริหาร
การบริหารหรือการจัดการมีความสำคัญต่อหน่วยงาน องค์การ และสังคม เนื่องจากการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มบุคคลต่าง ๆ ซึ่งแต่ละบุคคลก็มีความรู้ ความชำนาญ ภูมิหลังที่แตกต่างกัน ความสำคัญของการบริหารแบ่งออกได้ดังนี้
1. การบริหารตอบสนองความต้องการของมนุษย์ด้วยการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์สามารถสนองตอบความต้องการของสังคมที่เพิ่มมากขึ้น
2. การบริหารเป็นกลไกลในการจัดการทรัพยากร ได้แก่ วัตถุสิ่งของ และมนุษย์ อย่างมีคุณค่า
3. การบริหารสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่ประเทศชาติ
บทบาทของผู้บริหาร
บทบาทของผู้บริหารอาจแบ่งได้ 3 บทบาทดังต่อไปนี้
1. บทบาทความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Interpersonal Role )
2. บทบาททางด้านข้อมูล ( Imformational Role)
3. บทบาทในการตัดสินใจ (Decisional Role)
ซึ่งในแต่ละบทบาทมีส่วนประกอบย่อยดังนี้

1. บทบาทความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Interpersonal Role) เป็นบทบาทในด้านความเป็นผู้บริหารที่ต้องมีความสัมพันธภาพที่ดีกับบุคคล หรือกลุ่มต่างๆ

ทั้งภายในและภายนอกองค์การแยกออกเป็นบทบาทย่อยๆ ดังนี้
1.1 บทบาทของผู้บริหาร ( Figurehead )
เป็นตัวแทนในฐานะผู้บริหารซึ่งจะต้องมีหน้าที่ที่กำหนดไว้ในกฎระเบียบ
กฎหมายและมีหน้าที่ในทางสังคม การเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมอบรมพนักงาน
1.2 บทบาทของผู้นำ (Leader )
เป็นบทบาทที่ต้องการจูงใจเพื่อกระตุ้นส่งเสริมให้บุคลากรในองค์การทำงานจนประสบความสำเร็จ
ตามเป้าหมายขององค์การ
1.3 ผู้ประสานงาน ( Liaison ) มีบทบาทในการประสานงานกับฝ่ายต่างๆ ได้แก่
การประสานงานกับบุคคลในหน่วยงานอื่นภายในองค์การ
2. บทบาททางด้านข้อมูล (Information Role ) เป็นบทบาทในการเก็บข้อมูล
ประมวลข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การให้ข้อมูล เพื่อนำข้อมูลข่าวสารและความรู้ต่างๆ
นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการทำงาน
2.1 ผู้รวบรวมข้อมูล ( Monitor ) มีบทบาทในการติดต่อรับฟังข่าวสารและข้อมูลต่างๆ
ทั้งภายในและภายนอกองค์การ เช่น วารสาร หนังสือพิมพ์ เอกกสารทางธุรกิจ
2.2 ผู้ถ่ายทอดข้อมูล ( Dissemination )
มีบทบาทนาการถ่ายทอดข้อมูลที่ได้รับไปยังบุคคลและหน่วยงานภายในองค์การ
2.3 ผู้แถลงข่าวขององค์การ ( Spokeman) เป็นตัวแทนขององค์การในการแจ้งข้อมูลข่าวสารภายในองค์การออกไปสู่บุคคล องค์การภายนอก
เพื่อให้รับรู้ แผนงาน นโยบาย ผลการดำเนินงาน
3. บทบาทในการตัดสินใจ ( Decisional Role) ซึ่งเป็นบทบาทของผู้บริหารแบ่งออกได้ดังนี้ คือ
3.1 ผู้ประกอบการ ( Entrepreneur ) มีบทบาทในการริเริ่มสร้างสรรค์ในการพัฒนาเปลี่ยนแปลง
3.2 ผู้แก้ไขปัญหา (Disturbance Handler ) ปัญหาที่ต้องการแก้ไขซึ่งเกิดผลกระทบต่อองค์การ เช่นปัญหาการขัดแย้งภายในองค์การ
3.3 ผู้จัดสรรทรัพยากร (Resource Allocator ) เป็นการจัดสรรงบประมาณ วัสดุ อุปกรณ์ในการทำงาน การว่าจ้างพนักงาน การลงทุนในโครงการต่างๆ
3.4 ผู้เจรจาต่อรอง ( Negotiant) เป็นตัวแทนของการเจรจาทั้งภายในองค์การและภายนอกองค์การ เช่น
การเจรจาต่อรองค่าจ้างกับสหภาพแรงงาน
ประเภทของผู้บริหาร แบ่งออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้
1. ผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ( Line managers) เป็นผู้บริหารที่ปฏิบัติงานในสายงานหลักขององค์การมีหน้าที่รับผิดชอบ ฝ่ายขาย ฝ่ายผลิต ฝ่ายจัดซื้อ และฝ่ายการเงินมีหน้าที่สั่งการบุคคลในหน่วยงานอย่างเต็มที่
2. ผู้บริหารทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำ ( Staff Managers) มีหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำ ส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อให้เกิดความสำเร็จในการทำงาน
 3. ผู้บริหารตามหน้าที่งาน ( Functional Managers) มีขอบเขตความรับผิดชอบงานเฉพาะด้าน ได้รับมอบหมายให้มีอำนาจสั่งการได้บางเรื่อง
4. ผู้บริหารทั่วไป (General Managers) เป็นผู้บริหารที่มีความรับผิดชอบสูง และมีอำนาจสั่งการหลายหน้าที่ ซึ่งมีความสลับซับซ้อนในการทำงานมากกว่าฝ่ายอื่นๆ
5. ผู้บริหาร (Administrator) และผู้จัดการ (Manager) แต่เดิมนั้นคำว่าผู้บริหาร หมายถึง บุคคลที่ทำหน้าที่ในตำแหน่งผู้บริหารในองค์การที่มิได้มุ่งผลกำไร สำหรับความหมายของผู้จัดการ หมายถึง ผู้บริหารที่ทำหน้าที่ในภาคเอกชน
หน้าที่ทางการบริหาร
1. การวางแผน (Planning) เป็นการกำหนดแผนการปฏิบัติงานเริ่มจากการกำหนดวัตถุประสงค์ และวิธีการเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมาย ได้แก่การกำหนดนโยบาย วัตถุประสงค์
2. การจัดองค์การ ( Organizing ) คือการแบ่งงานด้วยการจัดโตรงสร้างองค์การ กำหนดขอบเขต
อำนาจหน้าที่ของตำแหน่งงานต่างๆ
3. การนำ ( Leading ) คือ วิธีการส่งเสริมสนับสนุนเพื่อให้บุคคลหรือกลุ่มให้ทำงานเพื่อบรรลุตามจุดมุ่งหมายของแผนงานที่กำหนดให้
4. การควบคุม (Controlling ) คือกระบวนการตรวจสอบประเมินผล  การปฏิบัติงานให้เป็นไปตามเกณฑ์
หรือมาตรฐานของงานเพื่อควบคุมการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามแผนและป้องกันแก้ไขข้อผิดพลาดจากการปฏิบัติงานการวางแผนในการบริหารงานเพื่อดำเนินการให้ได้ผลสำเร็จตามจุดมุ่งหมายต้องอาศัยการวางแผนการมีทัศนะวิสัย มีการตรวจสอบสภาวการณ์และส่งต่างๆ อย่างรอบครอบ
การวางแผนคือการคิดวิเคราะห์ และตัดสินใจกำหนดแผนงาน หรือวิธีการทำงานล่วงหน้า เพื่อความสำเร็จตามที่ต้องการ
ความสำคัญของการวางแผน
1. การวางแผนช่วยให้สามารถระบุเป้าหมายของความสำเร็จ
2. การวางแผนช่วยในการกำหนดผู้รับผิดชอบในการทำงาน
3. การวางแผนช่วยการกำหนดนโยบายให้ชัดเจน
4. การวางแผนช่วยป้องกันปัญหา และอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
5. การวางแผนช่วยให้มีการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ
กระบวนการวางแผน
1. การวิเคราะห์สถานการณ์ เช่น พฤติกรรมของผู้บริโภค วิธีการของคู่แข่ง สภาพทางเศรษฐกิจ ปัจจัยทางสังคม และวัฒนธรรม
2. การกำหนดวัตถุประสงค์และแผน ต้องอาศัยความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และความร่วมมือของบุคลากรในระดับต่างๆ
3. การประเมินวัตถุประสงค์และแผน การประเมินช่วยให้การตัดสินใจเลือกแผน และวัตถุประสงค์ที่ดีที่สุดมาดำเนินการ
4. การเลือกวัตถุประสงค์และแผน พิจารณาว่าการใช้แผนใดจึงจะเหมาะสมกับการปฏิบัติงาน
5. การนำไปใช้  ถ้าการนำไปใช้อย่างเหมาะสมผู้ปฏิบัติงานต้องเข้าใจแผนอย่างชัดเจนและมีทรัพยากรต่างๆ
อย่างเพียงพอจึงจะทำให้การนำแผนไปใช้ประสบความสำเร็จ
6. การตรวจสอบและควบคุม ช่วยให้การปฏิบัติตามแผนเกิดความสำเร็จตามเป้าหมายการตรวจสอบและควบคุมทำให้รู้ปัญหา และอุปสรรคที่เกิดขึ้นเพื่อที่จะได้แก้ไข และปรับเปลี่ยน
ประเภทของแผน
แผนแบ่งออกได้ 3 ประเภทดังนี้
1. การแบ่งตามระยะเวลา ( Time Horizon) แบ่งย่อยได้ดังนี้
1.1 แผนระยะสั้น (Short-Range Plan) หมายถึงแผนที่มีเวลานากรใช้แผนไม่เกิน 1 ปี
1.2 แผนระยะกลาง ( Intermediate-Range Plan) หมายถึงแผนที่มีระยะเวลาการใช้ตั้งแต่
1-2 ปี ส่วนให้เป็นแผนงานโครงการ
1.3 แผนระยะยาว หมายถึงแผนที่ใช้เวลาตั้งแต่ 2-5 ปีขึ้นไป
วัตถุประสงค์มีความเปิดกว้างมากกว่าแผนระยะสั้นหรือแผนระยะกลาง
2. การแบ่งตามกิจกรรม ( Scope of activity) แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
2.1 การวางแผนเชิงกลยุทธ์ (Strategic Planning) เป็นการวางแผนที่มีการกำหนดวัตถุประสงค์ระยะยาวสำหรับการดำเนินงานในอนาคต ซึ่งจัดทำโดยผู้บริหารระดับสูง แผนกลยุทธ์เป็นแผนที่ทำขึ้นเพื่อสนองความต้องการในระยะยาว
2.2 การวางแผนโครงการ (Project Planning) เป็นการวางแผนที่ต่อเนื่องจากการวางแผนเชิงกลยุทธ์ซึ่งกำหนดไว้กว้างๆ การวางแผนโครงการ เป็นการกำหนดนโยบาย แผน ทิศทางในการดำเนินงานมีการกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน
2.3 การวางแผนการดำเนินงาน (Operational Planning) ส่วนใหญ่มักเป็นการดำเนินงานในระยะสั้น
3. การแบ่งตามความถี่ของการใช้แผน (Frequency of use ) แบ่งออกได้ดังนี้
3.1 แผนที่ใช้ครั้งเดียว หมายถึง แผนงานที่มีการนำมาใช้เพื่อจุดมุ่งหมายที่แน่นอนมีการกำหนดเวลาที่แน่นอน เช่น 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี
3.2 แผนที่ใช้ประจำ เป็นแผนที่ใช้ต่อเนื่อง
เมื่อเสร็จสิ้นการดำเนินงานแล้วยังมีการนำแผนเดิมมาใช้อีก ตัวอย่างแผนที่ใช้ประจำได้แก่ นโยบาย
กฎเกณฑ์ เป็นต้น
การบริหารทรัพยากรมนุษย์
เป็นหน้าที่ของผู้บริหารที่ต้องใช้ทรัพยากรมนุษย์เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการปฏิบัติงานอันเกิดผลดีต่อองค์การ และความต้องการเฉพาะบุคคล
วัตถุประสงค์ของการบริหารทรัพยากรมนุษย์
1. เพื่อจัดหาบุคลากรที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับงาน
2. เพื่อใช้ทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประโยชน์เต็มที่ตามศักยภาพ
3. พัฒนาความรู้ความสามารถและทักษะในการทำงานของบุคลากร
4. เพื่อรักษาบุคลากรที่มีประสิทธิภาพให้เกิดความพอใจที่จะทำงานให้กับองค์การ
5. เพื่อสร้างขวัญกำลังใจแก่บุคลากร

กิจกรรมการบริหารทรัพยากรมนุษย์
1. การสรรหาบุคลากร ทำได้ดังนี้
1.1 วิธีการสรรหาจากภายใน โดยคัดเลือกจากบุคลากร หรือพนักงานภายในหน่วยงานเพื่อสับเปลี่ยนตำแหน่งหรือเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้น
1.2 วิธีการสรรหาจากภายนอก การสรรหาบุคลากรโดยวิธีการสรรหาจากภายนอกมีวิธีการสรรหาได้หลายอย่าง เช่นการลงโฆษณาตามสื่อต่างๆ
การคัดเลือกบุคลากร (Selection)
1. กระบวนการคัดเลือก
2. การทดสอบ
3. การสัมภาษณ์
4. การตรวจสอบสุขภาพ
5. การทดลองปฏิบัติหน้าที่
การควบคุมงานกับหลักมนุษยสัมพันธ์
ในการบริหารหรือการจัดการที่ดีต้องมีการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ ทำให้กิจกรรมต่างๆ ดำเนินไปตามแผนที่กำหนดไว้
จุดมุ่งหมายของการควบคุม
นอกจากตรวจสอบการปฏิบัติเพื่อให้เกิดมาตรฐานและเป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้แล้ว
ยังตรวจสอบวิธีการปฏิบัติงานว่าดำเนินตามหลักความถูกต้องและตรวจสอบความก้าวหน้าของงานสิ่งที่ต้องควบคุม

1. ปริมาณงาน
2. คุณภาพของงาน
3. เวลา
4. ค่าใช้จ่าย
การควบคุมงานด้วยหลักมนุษยสัมพันธ์
1. การควบคุมงานต้องตั้งมาตรฐานงานให้ชัดเจน
2. ผู้บริหารต้องมีความรู้ในเรื่องการควบคุม
3. การควบคุมต้องระบุความผิดพลาดได้ทันที
4. การควบคุมจุดสำคัญของระบบ
5. การควบคุมมีการเว้นความคลาดเคลื่อน
6. การควบคุมที่ดีเป็นลักษณะของการช่วยเหลือแนะนำ
มนุษยสัมพันธ์กับการสั่งการ
การสั่งการมีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ
1. การกำกับดูแล เพื่อให้พนักงานปฏิบัติงานไปในแนวทางที่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
2. เพื่อเป็นการชักจูงหรือโน้มน้าวให้ผู้ปฏิบัติงานทุ่มเทกำลังกายและกำลังใจในการปฏิบัติงานอย่างเต็มสติกำลัง
กระบวนการสั่งการ
1. การมอบหมายงานให้ปฏิบัติ โดยคำนึงถึงปริมาณของงานที่ต้องปฏิบัติ
2. การเลือกผู้ปฏิบัติควรคำนึงถึงความเหมาะสมกับงาน
3. การสั่งการที่ดี ควรเป็นลายลักษณ์อักษร
4. การให้การสนับสนุน เพื่อให้การทำงานประสบความสำเร็จ
5. การตรวจสอบความก้าวหน้า เป็นการกำกับดูแลการปฏิบัติงาน
6. การมุ่งความสำเร็จ เป็นการกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานเห็นความสำคัญของงาน
การสั่งการที่คำนึงถึงหลักมนุษยสัมพันธ์
1. การสั่งการควรเป็นการมอบหมายที่เป็นขั้นตอนชัดเจน
2. การสั่งการที่ดีควรเป็นคำสั่งการเชิงขอความร่วมมือ
3. การสั่งการควรใช้น้ำเสียงที่สุภาพนุ่มนวล ไม่ควรแสดงอำนาจ
4. คำสั่งการควรเป็นเรื่องที่ผู้คำสั่งสนใจและอยากปฏิบัติตามคำสั่ง
5. ผู้บริหารควรให้ความสนใจผู้ปฏิบัติงาน หลังจากสั่งการไปแล้วทำให้ผู้ปฏิบัติงานรู้สึกว่าผู้บริหารให้ความเอาใจใส่ ทำให้เกิดขวัญกำลังใจในการทำงาน
6. คำสั่งต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของหน่วยงาน ไม่ควรเป็นงานส่วนตัวของผู้บริหาร

7. การสั่งการแก่ผู้ปฏิบัติงาน  ผู้บริหารต้องมีความไว้วางใจและยอมรับในความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชา

บทที่ 6 ผู้นำกับมนุษยสัมพันธ์


ความหมายของผู้นำ
ในการทำงานภายในองค์การหรือการทำงานเป็นกลุ่ม เพื่อดำเนินงานหรือกิจกรรมต่างๆ
จำเป็นต้องมีผู้นำกลุ่มซึ่งเป็นผู้ตัดสินใจ
กำหนดปัญหาวางแผนและมีความรับผิดชอบเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายโดยเฉพาะออย่าง
ยิ่งทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ซึ่งจะช่วยให้ผู้นำบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ
บทบาทหน้าที่ของผู้นำ
1. พัฒนาประสิทธิภาพการทำงานขององค์การ
2. สร้างสัมพันธภาพภายในองค์การ
3. พัฒนาและควบคุมการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
4. ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม
5. การให้คำปรึกษาแนะนำ
บทบาทหน้าที่ของผู้นำในด้านการบริหารงาน มีภารกิจสำคัญ 5 ประการ ดังนี้
1. การวางแผน หมายถึงการกำหนดนโยบายและมาตรฐานเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย
2. การจัดองค์การ คือการกำหนดตำแหน่ง ระบุอำนาจหน้าที่
3. การแต่งตั้งบุคลากร คือการสรรหาบุคคลเข้ามาทำงานในตำแหน่งต่างๆ
4. การอำนวยการ คือการบังคับบัญชามอบหมายงาน การกระจายงานออกไปในแต่ละหน่วยงาน
 5. การควบคุม คือการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานในเรื่องผลผลิต คุณภาพ

บทบาทหน้าที่ของผู้นำในด้านมนุษยสัมพันธ์ มีหน้าที่หลักๆ ดังนี้
1. กระตุ้นให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีความมีความสนใจ และเต็มใจในการปฏิบัติงาน
2. แก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นกับบุคคลในขณะที่ปฏิบัติงาน
3. ทำให้พนักงานยอมรับในเรื่องการเปลี่ยนแปลง
4. มีการจูใจให้บุคคลทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุดในงาน
5. อธิบายและถ่ายทอดแผนงานรวมทั้งการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการบริหารงาน
6. ส่งเสริมให้บุคคลสร้างความภูมิใจ ด้วยจิตใจและทักษะต่างๆ
คุณลักษณะของผู้นำ
1. เป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ
2. เป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาด รอบรู้ ทันเหตุการณ์
3. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ พัฒนาตนเองและการทำงานอยู่เสมอ
4. มีความสุขุมคัมภีร์ภาพ ใช้วิจารณญาณในสิ่งต่างๆ
5. เป็นผู้ที่สามารถแสดงออกถึงความต้องการของตนเองได้อย่างเหมาะสม
6. มีความเชื่อมั่นในตนเอง สามารถปรับตัวและควบคุมได้ดีทุกสถานการณ์
7. มีความรับผิดชอบสูง
8. ยอมรับและรับฟังความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชา
9. เป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีเป็นที่รักใคร่ชอบพอ
10. เป็นผู้ที่มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน มีกำลังใจในการทำงานดี

อำนาจของผู้นำ
1. อำนาจในการให้สิ่งตอบแทน
2. อำนาจบังคับเป็นอำนาจในการลงโทษ
3. อำนาจตามกฎหมาย
4. อำนาจการอ้างอิง
5. อำนาจความเชี่ยวชาญ
แบบของผู้นำ
1. ผู้นำแบบเผด็จการ หรือแบบอัตตาธิปไตย
2. ผู้นำแบบประชาธิปไตย
3. ผู้นำแบบตามสบาย หรือแบบเสรีนิยม
ระดับของผู้นำและหน้าที่ความรับผิดชอบ
1. ผู้นำระดับสูง ได้แก่ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กรรมการผู้จัดการ ประธานบริษัท
2. ผู้นำระดับกลาง ได้แก่ รองประธานบริษัท ผู้จัดการแผนกต่างๆ
3. ผู้นำระดับต้นหรือผู้นำระดับแรกสุด ได้แก่หน้างาน มีหน้าที่ดำเนินงาน
ธรรมชาติความเป็นผู้นำ
1. ผู้นำแบบเป็นทางการ
2. ผู้นำแบบไม่เป็นทางการ
ทฤษฎีความเป็นผู้นำ
 ในการศึกษาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นผู้นำ ในด้านปัจจัยต่างๆ
องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับความเป็นผู้นำ ประสิทธิภาพของความเป็นผู้นำ
ลักษณะบุคลิกภาพที่เหมาะสม การตัดสินใจและแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ ของผู้นำดังนี้
1. ทฤษฎีเชิงคุณลักษณะ เกิดจากประสบการณ์และการเรียนรู้คุณลักษณะของผู้นำประกอบด้วย
1.1 คุณลักษณะทางร่างกาย ได้แก่ อายุ ส่วนสูง รูปร่าง น้ำหนัก
1.2 ภูมิหลังทางสังคม ได้แก่ การศึกษา สถานภาพทางสังคม
1.3 สติปัญญา ได้แก่ความสามารถ ดุลยพินิจ ความรู้ความเด็ดขาด การพูดจา
1.4 บุคลิกภาพ ได้แก่ความเชื่อมั่น ความตื่นตัว ความกระตือรือร้นความคิดสร้างสรรค์
1.5 คุณลักษณะในการทำงาน ได้แก่ ความต้องการความสำเร็จ ความขยันหมั่นเพียร
1.6 คุณลักษณะทางสังคม ได้แก่ ความเป็นที่ชื่นชมจากบุคคลอื่น มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีในการเข้าสังคมได้ดี
2. ทฤษฎีเชิงพฤติกรรม
เป็นแนวคิดมนการพิจารณาลักษณะการทำงานของผู้นำซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจที่มีอิทธิพลต่อผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนี้
2.1 ทฤษฎีผู้นำแบบเผด็จการและผู้นำแบบประชาธิปไตย
2.2 ทฤษฎีความเป็นผู้นำเชิงพฤติกรรมศาสตร์
3. ทฤษฎีเชิงสถานการณ์ การพัฒนาแนวคิดในการศึกษาความเป็นผู้นำ
เกิดจากความเชื่อว่าความเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมบางอย่าง
ได้มีผู้ศึกษาและสร้างเป็นทฤษฎีไว้หลายแนวคิดในที่นี้ขอกล่าวถึงบางทฤษฎี ดังนี้
3.1 ทฤษฎีเชิงสถานการณ์ของฟีลเดอร์ ทฤษฎีเชิงสถานการณ์ของฟิลเดอร์กล่าวว่าประสอทธิภาพความเป็นผู้นำขึ้นอยู่กับความสอดคล้องระหว่างบุคลิกภาพของผู้นำกับสถานการณ์
3.2 ทฤษฎีเชิงเส้นทางสู่เป้าหมาย เป็นทฤษฎีผู้นำเชิงสถานการณ์ที่มีแนวคิดว่าประสิทธิภาพของผู้นำขึ้นอยู่กับความสามารถในการจูงใจและตอบสนองความต้องการของพนักงาน
3.3 การเลือกพฤติกรรมของผู้นำ การใช้แนวคิดของทฤษฎีเส้นทางสู่เป้าหมาย เพื่อเลือกพฤติกรรมของผู้นำให้เหมาะสมจากลักษณะผู้นำสี่แบบ คือ ผู้นำแบบบงการผู้นำแบบสนับสนุน ผู้นำแบบมีส่วนร่วม และผู้นำแบบมุ่งความสำเร็จมนุษยสัมพันธ์กับความเป็นผู้นำผู้นำที่มีประสิทธิภาพในการทำงาน นอกจากจะมีความรู้ความเข้าใจในหลักการบริหารงานแล้ว ยังต้องสามารถสร้างมนุษยสัมพันธ์ให้เกิดขึ้นในการทำงาน ผู้นำที่มีปัจจัยมนุษยสัมพันธ์ที่ดีช่วยให้การทำงานปีประสิทธิภาพและบรรยากาศในองค์การมีความสุข ผู้นำควรใช้หลักมนุษยสัมพันธ์ในเรื่องต่างๆ ดังนี้
1. ผู้นำกับวีการติดต่อสื่อสาร
1.1 ให้การยกย่องชมเชย เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาทำความดี ปฏิบัติงานด้วยความอุตสาหะ ขยันขันแข็ง
1.2 เมื่อทำความผิดหรือบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ ต้องแจ้งให้ทราบ หรือตำหนิเพื่อให้เกิดการแก้ไขเปลี่ยนแปลง
1.3 ในการสั่งงาน ควรมีการอธิบายรายละเอียดของงานให้ชัดเจน และมีการสั่งงานแบบเป็นลายลักษณ์อักษร
1.4 เป็นผู้พูดและผู้ฟังที่ดี
1.5 ไม่ว่ากล่าวผู้ใต้บังคับบัญชา หรือให้ร้ายลับหลัง
2. บุคลิกภาพของผู้นำ
2.1 ควรวางตนให้เป็นที่เชื่อถือ ไม่พูดโอ้อวด หรือพูดจาเพ้อเจ้อ
2.2 ควรเป็นผู้ที่มีความยุติธรรมวางตัวเป็นกลาง ไม่เข้ากับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
2.3 ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีทั้งในด้านการทำงาน และส่วนตัว ทำงานด้วยความซื่อตรง
2.4 สามารถควบคุมอารมณ์เหมาะสม ไม่ตื่นเต้นดีใจ หรือตกใจจนเกินไปเมื่อเกิดความโกรธผู้ใต้บังคับบัญชา
2.5 ผู้นำควรแต่งกายดี สะอาดเรียบร้อย เป็นผู้ที่มีกิริยามารยาทดี
3. ผู้นำกับการปฏิบัติงาน
3.1 การวางแผนการทำงาน แลการจัดลำดับของงานตามขั้นตอน

3.2 ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีโอกาสฝึกฝนพัฒนาความรู้ความสามารถในการทำงานโดยการส่งฝึกอบรมหรือศึกษาต่อ
3.3 สร้างขวัญและกำลังใจในการทำงาน
3.4 ผู้นำที่มีประสิทธิภาพต้องมีทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ต่อผู้ใต้บังคับบัญชาได้ดี
4. ผู้นำกับการให้คำปรึกษา ปัญหาที่เกิดขึ้นในหน่วยงานส่วนใหญ่ ได้แก่
4.1 ปัญหาในการปฏิบัติงาน
4.2 ปัญหาสัมพันธภาพระหว่างผู้ร่วมงาน
4.3 ปัญหาส่วนตัวที่มีผลกระทบต่อการทำงาน

4.4 ปัญหาที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมภายในและภายนอกองค์การ