วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

หน่วยที่ 7 ความหมายและความสำคัญของการบริหารงาน


การบริหาร คือกระบวนการทำงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของบุคคลและกลุ่ม ผู้บริหารเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวของงานที่เกิดขึ้น

ความสำคัญของการบริหาร
การบริหารหรือการจัดการมีความสำคัญต่อหน่วยงาน องค์การ และสังคม เนื่องจากการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มบุคคลต่าง ๆ ซึ่งแต่ละบุคคลก็มีความรู้ ความชำนาญ ภูมิหลังที่แตกต่างกัน ความสำคัญของการบริหารแบ่งออกได้ดังนี้
1. การบริหารตอบสนองความต้องการของมนุษย์ด้วยการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์สามารถสนองตอบความต้องการของสังคมที่เพิ่มมากขึ้น
2. การบริหารเป็นกลไกลในการจัดการทรัพยากร ได้แก่ วัตถุสิ่งของ และมนุษย์ อย่างมีคุณค่า
3. การบริหารสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่ประเทศชาติ
บทบาทของผู้บริหาร
บทบาทของผู้บริหารอาจแบ่งได้ 3 บทบาทดังต่อไปนี้
1. บทบาทความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Interpersonal Role )
2. บทบาททางด้านข้อมูล ( Imformational Role)
3. บทบาทในการตัดสินใจ (Decisional Role)
ซึ่งในแต่ละบทบาทมีส่วนประกอบย่อยดังนี้

1. บทบาทความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Interpersonal Role) เป็นบทบาทในด้านความเป็นผู้บริหารที่ต้องมีความสัมพันธภาพที่ดีกับบุคคล หรือกลุ่มต่างๆ

ทั้งภายในและภายนอกองค์การแยกออกเป็นบทบาทย่อยๆ ดังนี้
1.1 บทบาทของผู้บริหาร ( Figurehead )
เป็นตัวแทนในฐานะผู้บริหารซึ่งจะต้องมีหน้าที่ที่กำหนดไว้ในกฎระเบียบ
กฎหมายและมีหน้าที่ในทางสังคม การเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมอบรมพนักงาน
1.2 บทบาทของผู้นำ (Leader )
เป็นบทบาทที่ต้องการจูงใจเพื่อกระตุ้นส่งเสริมให้บุคลากรในองค์การทำงานจนประสบความสำเร็จ
ตามเป้าหมายขององค์การ
1.3 ผู้ประสานงาน ( Liaison ) มีบทบาทในการประสานงานกับฝ่ายต่างๆ ได้แก่
การประสานงานกับบุคคลในหน่วยงานอื่นภายในองค์การ
2. บทบาททางด้านข้อมูล (Information Role ) เป็นบทบาทในการเก็บข้อมูล
ประมวลข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การให้ข้อมูล เพื่อนำข้อมูลข่าวสารและความรู้ต่างๆ
นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการทำงาน
2.1 ผู้รวบรวมข้อมูล ( Monitor ) มีบทบาทในการติดต่อรับฟังข่าวสารและข้อมูลต่างๆ
ทั้งภายในและภายนอกองค์การ เช่น วารสาร หนังสือพิมพ์ เอกกสารทางธุรกิจ
2.2 ผู้ถ่ายทอดข้อมูล ( Dissemination )
มีบทบาทนาการถ่ายทอดข้อมูลที่ได้รับไปยังบุคคลและหน่วยงานภายในองค์การ
2.3 ผู้แถลงข่าวขององค์การ ( Spokeman) เป็นตัวแทนขององค์การในการแจ้งข้อมูลข่าวสารภายในองค์การออกไปสู่บุคคล องค์การภายนอก
เพื่อให้รับรู้ แผนงาน นโยบาย ผลการดำเนินงาน
3. บทบาทในการตัดสินใจ ( Decisional Role) ซึ่งเป็นบทบาทของผู้บริหารแบ่งออกได้ดังนี้ คือ
3.1 ผู้ประกอบการ ( Entrepreneur ) มีบทบาทในการริเริ่มสร้างสรรค์ในการพัฒนาเปลี่ยนแปลง
3.2 ผู้แก้ไขปัญหา (Disturbance Handler ) ปัญหาที่ต้องการแก้ไขซึ่งเกิดผลกระทบต่อองค์การ เช่นปัญหาการขัดแย้งภายในองค์การ
3.3 ผู้จัดสรรทรัพยากร (Resource Allocator ) เป็นการจัดสรรงบประมาณ วัสดุ อุปกรณ์ในการทำงาน การว่าจ้างพนักงาน การลงทุนในโครงการต่างๆ
3.4 ผู้เจรจาต่อรอง ( Negotiant) เป็นตัวแทนของการเจรจาทั้งภายในองค์การและภายนอกองค์การ เช่น
การเจรจาต่อรองค่าจ้างกับสหภาพแรงงาน
ประเภทของผู้บริหาร แบ่งออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้
1. ผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ( Line managers) เป็นผู้บริหารที่ปฏิบัติงานในสายงานหลักขององค์การมีหน้าที่รับผิดชอบ ฝ่ายขาย ฝ่ายผลิต ฝ่ายจัดซื้อ และฝ่ายการเงินมีหน้าที่สั่งการบุคคลในหน่วยงานอย่างเต็มที่
2. ผู้บริหารทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำ ( Staff Managers) มีหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำ ส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อให้เกิดความสำเร็จในการทำงาน
 3. ผู้บริหารตามหน้าที่งาน ( Functional Managers) มีขอบเขตความรับผิดชอบงานเฉพาะด้าน ได้รับมอบหมายให้มีอำนาจสั่งการได้บางเรื่อง
4. ผู้บริหารทั่วไป (General Managers) เป็นผู้บริหารที่มีความรับผิดชอบสูง และมีอำนาจสั่งการหลายหน้าที่ ซึ่งมีความสลับซับซ้อนในการทำงานมากกว่าฝ่ายอื่นๆ
5. ผู้บริหาร (Administrator) และผู้จัดการ (Manager) แต่เดิมนั้นคำว่าผู้บริหาร หมายถึง บุคคลที่ทำหน้าที่ในตำแหน่งผู้บริหารในองค์การที่มิได้มุ่งผลกำไร สำหรับความหมายของผู้จัดการ หมายถึง ผู้บริหารที่ทำหน้าที่ในภาคเอกชน
หน้าที่ทางการบริหาร
1. การวางแผน (Planning) เป็นการกำหนดแผนการปฏิบัติงานเริ่มจากการกำหนดวัตถุประสงค์ และวิธีการเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมาย ได้แก่การกำหนดนโยบาย วัตถุประสงค์
2. การจัดองค์การ ( Organizing ) คือการแบ่งงานด้วยการจัดโตรงสร้างองค์การ กำหนดขอบเขต
อำนาจหน้าที่ของตำแหน่งงานต่างๆ
3. การนำ ( Leading ) คือ วิธีการส่งเสริมสนับสนุนเพื่อให้บุคคลหรือกลุ่มให้ทำงานเพื่อบรรลุตามจุดมุ่งหมายของแผนงานที่กำหนดให้
4. การควบคุม (Controlling ) คือกระบวนการตรวจสอบประเมินผล  การปฏิบัติงานให้เป็นไปตามเกณฑ์
หรือมาตรฐานของงานเพื่อควบคุมการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามแผนและป้องกันแก้ไขข้อผิดพลาดจากการปฏิบัติงานการวางแผนในการบริหารงานเพื่อดำเนินการให้ได้ผลสำเร็จตามจุดมุ่งหมายต้องอาศัยการวางแผนการมีทัศนะวิสัย มีการตรวจสอบสภาวการณ์และส่งต่างๆ อย่างรอบครอบ
การวางแผนคือการคิดวิเคราะห์ และตัดสินใจกำหนดแผนงาน หรือวิธีการทำงานล่วงหน้า เพื่อความสำเร็จตามที่ต้องการ
ความสำคัญของการวางแผน
1. การวางแผนช่วยให้สามารถระบุเป้าหมายของความสำเร็จ
2. การวางแผนช่วยในการกำหนดผู้รับผิดชอบในการทำงาน
3. การวางแผนช่วยการกำหนดนโยบายให้ชัดเจน
4. การวางแผนช่วยป้องกันปัญหา และอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
5. การวางแผนช่วยให้มีการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ
กระบวนการวางแผน
1. การวิเคราะห์สถานการณ์ เช่น พฤติกรรมของผู้บริโภค วิธีการของคู่แข่ง สภาพทางเศรษฐกิจ ปัจจัยทางสังคม และวัฒนธรรม
2. การกำหนดวัตถุประสงค์และแผน ต้องอาศัยความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และความร่วมมือของบุคลากรในระดับต่างๆ
3. การประเมินวัตถุประสงค์และแผน การประเมินช่วยให้การตัดสินใจเลือกแผน และวัตถุประสงค์ที่ดีที่สุดมาดำเนินการ
4. การเลือกวัตถุประสงค์และแผน พิจารณาว่าการใช้แผนใดจึงจะเหมาะสมกับการปฏิบัติงาน
5. การนำไปใช้  ถ้าการนำไปใช้อย่างเหมาะสมผู้ปฏิบัติงานต้องเข้าใจแผนอย่างชัดเจนและมีทรัพยากรต่างๆ
อย่างเพียงพอจึงจะทำให้การนำแผนไปใช้ประสบความสำเร็จ
6. การตรวจสอบและควบคุม ช่วยให้การปฏิบัติตามแผนเกิดความสำเร็จตามเป้าหมายการตรวจสอบและควบคุมทำให้รู้ปัญหา และอุปสรรคที่เกิดขึ้นเพื่อที่จะได้แก้ไข และปรับเปลี่ยน
ประเภทของแผน
แผนแบ่งออกได้ 3 ประเภทดังนี้
1. การแบ่งตามระยะเวลา ( Time Horizon) แบ่งย่อยได้ดังนี้
1.1 แผนระยะสั้น (Short-Range Plan) หมายถึงแผนที่มีเวลานากรใช้แผนไม่เกิน 1 ปี
1.2 แผนระยะกลาง ( Intermediate-Range Plan) หมายถึงแผนที่มีระยะเวลาการใช้ตั้งแต่
1-2 ปี ส่วนให้เป็นแผนงานโครงการ
1.3 แผนระยะยาว หมายถึงแผนที่ใช้เวลาตั้งแต่ 2-5 ปีขึ้นไป
วัตถุประสงค์มีความเปิดกว้างมากกว่าแผนระยะสั้นหรือแผนระยะกลาง
2. การแบ่งตามกิจกรรม ( Scope of activity) แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
2.1 การวางแผนเชิงกลยุทธ์ (Strategic Planning) เป็นการวางแผนที่มีการกำหนดวัตถุประสงค์ระยะยาวสำหรับการดำเนินงานในอนาคต ซึ่งจัดทำโดยผู้บริหารระดับสูง แผนกลยุทธ์เป็นแผนที่ทำขึ้นเพื่อสนองความต้องการในระยะยาว
2.2 การวางแผนโครงการ (Project Planning) เป็นการวางแผนที่ต่อเนื่องจากการวางแผนเชิงกลยุทธ์ซึ่งกำหนดไว้กว้างๆ การวางแผนโครงการ เป็นการกำหนดนโยบาย แผน ทิศทางในการดำเนินงานมีการกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน
2.3 การวางแผนการดำเนินงาน (Operational Planning) ส่วนใหญ่มักเป็นการดำเนินงานในระยะสั้น
3. การแบ่งตามความถี่ของการใช้แผน (Frequency of use ) แบ่งออกได้ดังนี้
3.1 แผนที่ใช้ครั้งเดียว หมายถึง แผนงานที่มีการนำมาใช้เพื่อจุดมุ่งหมายที่แน่นอนมีการกำหนดเวลาที่แน่นอน เช่น 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี
3.2 แผนที่ใช้ประจำ เป็นแผนที่ใช้ต่อเนื่อง
เมื่อเสร็จสิ้นการดำเนินงานแล้วยังมีการนำแผนเดิมมาใช้อีก ตัวอย่างแผนที่ใช้ประจำได้แก่ นโยบาย
กฎเกณฑ์ เป็นต้น
การบริหารทรัพยากรมนุษย์
เป็นหน้าที่ของผู้บริหารที่ต้องใช้ทรัพยากรมนุษย์เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการปฏิบัติงานอันเกิดผลดีต่อองค์การ และความต้องการเฉพาะบุคคล
วัตถุประสงค์ของการบริหารทรัพยากรมนุษย์
1. เพื่อจัดหาบุคลากรที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับงาน
2. เพื่อใช้ทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประโยชน์เต็มที่ตามศักยภาพ
3. พัฒนาความรู้ความสามารถและทักษะในการทำงานของบุคลากร
4. เพื่อรักษาบุคลากรที่มีประสิทธิภาพให้เกิดความพอใจที่จะทำงานให้กับองค์การ
5. เพื่อสร้างขวัญกำลังใจแก่บุคลากร

กิจกรรมการบริหารทรัพยากรมนุษย์
1. การสรรหาบุคลากร ทำได้ดังนี้
1.1 วิธีการสรรหาจากภายใน โดยคัดเลือกจากบุคลากร หรือพนักงานภายในหน่วยงานเพื่อสับเปลี่ยนตำแหน่งหรือเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้น
1.2 วิธีการสรรหาจากภายนอก การสรรหาบุคลากรโดยวิธีการสรรหาจากภายนอกมีวิธีการสรรหาได้หลายอย่าง เช่นการลงโฆษณาตามสื่อต่างๆ
การคัดเลือกบุคลากร (Selection)
1. กระบวนการคัดเลือก
2. การทดสอบ
3. การสัมภาษณ์
4. การตรวจสอบสุขภาพ
5. การทดลองปฏิบัติหน้าที่
การควบคุมงานกับหลักมนุษยสัมพันธ์
ในการบริหารหรือการจัดการที่ดีต้องมีการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ ทำให้กิจกรรมต่างๆ ดำเนินไปตามแผนที่กำหนดไว้
จุดมุ่งหมายของการควบคุม
นอกจากตรวจสอบการปฏิบัติเพื่อให้เกิดมาตรฐานและเป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้แล้ว
ยังตรวจสอบวิธีการปฏิบัติงานว่าดำเนินตามหลักความถูกต้องและตรวจสอบความก้าวหน้าของงานสิ่งที่ต้องควบคุม

1. ปริมาณงาน
2. คุณภาพของงาน
3. เวลา
4. ค่าใช้จ่าย
การควบคุมงานด้วยหลักมนุษยสัมพันธ์
1. การควบคุมงานต้องตั้งมาตรฐานงานให้ชัดเจน
2. ผู้บริหารต้องมีความรู้ในเรื่องการควบคุม
3. การควบคุมต้องระบุความผิดพลาดได้ทันที
4. การควบคุมจุดสำคัญของระบบ
5. การควบคุมมีการเว้นความคลาดเคลื่อน
6. การควบคุมที่ดีเป็นลักษณะของการช่วยเหลือแนะนำ
มนุษยสัมพันธ์กับการสั่งการ
การสั่งการมีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ
1. การกำกับดูแล เพื่อให้พนักงานปฏิบัติงานไปในแนวทางที่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
2. เพื่อเป็นการชักจูงหรือโน้มน้าวให้ผู้ปฏิบัติงานทุ่มเทกำลังกายและกำลังใจในการปฏิบัติงานอย่างเต็มสติกำลัง
กระบวนการสั่งการ
1. การมอบหมายงานให้ปฏิบัติ โดยคำนึงถึงปริมาณของงานที่ต้องปฏิบัติ
2. การเลือกผู้ปฏิบัติควรคำนึงถึงความเหมาะสมกับงาน
3. การสั่งการที่ดี ควรเป็นลายลักษณ์อักษร
4. การให้การสนับสนุน เพื่อให้การทำงานประสบความสำเร็จ
5. การตรวจสอบความก้าวหน้า เป็นการกำกับดูแลการปฏิบัติงาน
6. การมุ่งความสำเร็จ เป็นการกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานเห็นความสำคัญของงาน
การสั่งการที่คำนึงถึงหลักมนุษยสัมพันธ์
1. การสั่งการควรเป็นการมอบหมายที่เป็นขั้นตอนชัดเจน
2. การสั่งการที่ดีควรเป็นคำสั่งการเชิงขอความร่วมมือ
3. การสั่งการควรใช้น้ำเสียงที่สุภาพนุ่มนวล ไม่ควรแสดงอำนาจ
4. คำสั่งการควรเป็นเรื่องที่ผู้คำสั่งสนใจและอยากปฏิบัติตามคำสั่ง
5. ผู้บริหารควรให้ความสนใจผู้ปฏิบัติงาน หลังจากสั่งการไปแล้วทำให้ผู้ปฏิบัติงานรู้สึกว่าผู้บริหารให้ความเอาใจใส่ ทำให้เกิดขวัญกำลังใจในการทำงาน
6. คำสั่งต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของหน่วยงาน ไม่ควรเป็นงานส่วนตัวของผู้บริหาร

7. การสั่งการแก่ผู้ปฏิบัติงาน  ผู้บริหารต้องมีความไว้วางใจและยอมรับในความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น