วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

หน่วยที่ 2 ธรรมชาติของมนุษย์และแรงจูงใจในการทำงาน


ธรรมชาติของมนุษย์ในทัศนะนักจิตวิทยา
ซิกมันด์ ฟรอยด์  นักจิตวิทยาชาวออสเตรียเชื้อสายยิว บอกว่า ธรรมชาติของมนุษย์เกิดมาพร้อมแรงผลักดันทางสัญชาตญาณ มนุษย์มีแนวโน้มที่จะแสวงหาความสุข ได้แบ่งการทำงานของจิตออกเป็น 3 ระดับคือ
1.  จิตใต้สำนึกมีบทบาทสำคัญในการแสดงพฤติกรรมของมนุษย์
2.   จิตใกล้สำนึก เป็นสภาพจิตที่สะสมประสบการณ์ไว้มีลักษณะเลือนรางไม่ชัดเจน

3.   จิตรู้สำนึกเป็นสภาวะที่บุคคลในสภาพการณ์ปกติสามารถรับรู้ ทำให้เกิดพฤติกรรมสอดคล้องกับหลักความเป็นจริงตามหลักแห่งเหตุผลได้
อีริค เบิร์นส์ มีความเชื่อเกี่ยวกับมนุษย์ว่า มนุษย์มีคุณค่ามีหน้าที่รับผิดชอบต่อพฤติกรรมและการตัดสินใจของตนเอง ถึงแม้ว่าบุคลิกภาพของมนุษย์เป็นผลจากอิทธิพลการอบรมเลี้ยงดูและประสบการณ์ในอดีต
คาร์ล โรเจอร์ส ให้ทัศนะธรรมชาติของมนุษย์ว่า มนุษย์มีธรรมชาติที่ดี มีความสามารถ มีเหตุผล มีแนวโน้มที่จะพัฒนาตนเอง
 อัลเบิร์ท  เอลลิส มนุษย์มีความแตกต่างจากสัตว์โลกอื่น เพราะมนุษย์มีความคิด มีค่านิยม มีความสามารถในการเรียนรู้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง
ธรรมชาติของมนุษย์ในทัศนะนักปรัชญา
โสเครตีส กล่าวส่า ธรรมชาติของมนุษย์ถ้ามนุษย์มีความคิดที่ถูกต้องย่อมนำไปสู่การกระทำที่ถูกต้อง มนุษย์สำนึกในการกระทำช่วยให้เกิดการค้นหาความหมายในชีวิต
เพลโต นอกเหนือจากร่างกายแล้ว มนุษย์มีจิตเป็นสิ่งกำหนดให้ร่างกายดำเนินไปตามความต้องการ จิตมีธรรมชาติที่ต่างจากร่างกาย สามารถมีความรู้สึกนึกคิด สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้
อริสโตเติล มนุษย์มีความสามารถในการคิดอย่างมีเหตุผล ถ้ามนุษย์ใช้ศักยภาพและความสามารถทั้งหมดในการดำเนินชีวิตก็จะพบกับความสุขได้
ธรรมชาติของมนุษย์จากปรัชญาขงจื้อ
                ขงจื้อมีแนวคิดว่าสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีความแตกต่างกันมิใช่เรื่องการกำเนิด แต่เป็นความประพฤติตามหลักของคุณธรรม ความมีมนุษย์ธรรม ความชอบธรรม
สังคมที่ดีประกอบด้วย
1. จริยธรรมทางกาย
1.1   การสร้างเสริมตนเองให้เป็นคนดี
1.2   การจัดการครอบครัวให้มีระเบียบ
1.3   การปกครองประเทศด้วยดี
1.4  การสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ
      2.   จริยธรรมทางใจ
                                2.1   สำรวจความจริงใจสรรพสิ่ง
                                2.2   มีความรู้ในจุดมุ่งหมายของชีวิต
                                2.3   ทำจิตใจให้สะอาด
                                2.4   มีความซื่อสัตย์สุจริตในการดำเนินชีวิต
ธรรมชาติของมนุษย์ในทัศนะนักสังคมวิทยา
                นักสังคมวิทยา มีแนวคิดที่ว่า ธรรมชาติมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ซึ่งจะต้องอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม มีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน มีการติดต่อสัมพันธ์กันในเรื่องต่างๆ การแบ่งกลุ่มมนุษย์ในสังคมจะมี ๔ กลุ่มดังนี้
1.กลุ่มญาติพี่น้อง
2.กลุ่มเพื่อนบ้าน
3.กลุ่มเพื่อนร่วมงาน
4.กลุ่มความสนใจ
ธรรมชาติของมนุษย์ในทัศนะนักบริหาร
                ธงชัย  สันติวงษ์ มนุษย์เป็นปัจจัยในการผลิตขององค์การที่มีความผันแปรได้ มนุษย์มีส่วนของเหตุผล มีความต้องการด้านเศรษฐกิจและมีจุดมุ่งหมายในการทำงาน
                นายแพทย์ประเวศ  วะสี  กล่าวถึงธรรมชาติของมนุษย์ในด้านต่างๆคือ
1. ความเป็นปัจเจกบุคคล
2.ธรรมชาติที่เป็นเบญจขันธ์
3.จินตนาการ
4.ความสามารถที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
5.จริยธรรม
6.ครอบครัว สังคม วัฒนธรรม
7.อิสรภาพ
ธรรมชาติของมนุษย์ในทัศนะพระพุทธศาสนา
                พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้ศึกษาและแสวงหาความจริงด้วยตนเอง แม้แต่หลักธรรมในพระพุทธศาสนาเน้นการใช้เหตุผลพิจารณาก่อนแล้วจึงปฏิบัติตาม พระพุทธศาสนามีทัศนะต่อ
ต่อธรรมชาติของมนุษย์ว่า มนุษย์เป็นผลรวมของจิตใจและร่างกาย กล่าวคือความสำคัญทางด้านพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม มีอิทธิพลต่อมนุษย์เท่าเทียมกัน โดยมีความเชื่อว่ามนุษย์สามารถฝึกฝนพัฒนาได้และมีวิสัยของการพัฒนาได้สูงสุด ด้วยการค้นหาศักยภาพของแต่ละคน มาพัฒนาให้งอกงามเต็มตามความสามารถที่ตนมี
                ประโยชน์หรือคุณค่าที่เป็นจุดหมายชีวิตแบ่งได้ ๓ ระดับ คือ
1.ประโยชน์ในปัจจุบัน ได้แก่การมีสุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว
2.ประโยชน์เบื้องหน้า ได้แก่การมีความสุขทางจิตใจ
3.ประโยชน์อย่างยิ่ง ได้แก่ สิ่งที่เกิดขึ้นร่วมกันระหว่างตนเองกับผู้อื่น
ความแตกต่างของมนุษย์
                หมายถึง มนุษย์ทุกคนย่อมเกิดมามีความแตกต่างกันเป็นเรื่องธรรมชาติและธรรมดา การศึกษาความแตกต่างกันของมนุษย์เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในความแตกต่าง ซึ่งมีคุณประโยชน์หลายประการ
กันยา  สุวรรณแสง ได้จำแนกความแตกต่างของมนุษย์ไว้หลายประการ ดังนี้
1.ความแตกต่างทางกาย
2.ความแตกต่างทางอารมณ์
3.ความแตกต่างทางสังคม
4.ความแตกต่างทางสติปัญญา
5.ความแตกต่างกันด้านความถนัด
6.ความแตกต่างกันในด้านบุคลิกภาพ
6.1   พันธุกรรม
6.2 สิ่งแวดล้อม
แรงจูงใจในการทำงาน   แรงจูงใจ หมายถึง สภาวะของบุคคลที่ถูกกระตุ้นให้แสดงพฤติกรรมไปสู่จุดหมายปลายทาง การที่มนุษย์แสดงออกเพราะถูกกระตุ้นเป็นพฤติกรรมที่มีเป้าหมาย เพราะกลไกของร่างกายแสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งที่มากระตุ้น โดยมีความคิด ความเข้าใจ และความตั้งใจที่จะให้บรรลุเป้าหมาย
ขั้นตอนการเกิดแรงจูงใจ มี ๔ ขั้นตอน คือ
1.ขั้นความต้องการ ความต้องการเกิดขึ้นเมื่อบุคคลขาดภาวะสมดุลทางร่างกายและจิตใจ ทำให้กลไกของร่างกายไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ
2.ขั้นแรงขับ ความต้องการกระตุ้นให้เกิดแรงขับ ซึ่งจะเกิดความกระวนกระวาย
3.ขั้นพฤติกรรม เมื่อมีแรงขับเกิดขึ้นจะเป็นผลต่อเนื่อง คือการแสดงพฤติกรรมออกมาเพื่อสนองความต้องการ
4.ขั้นลดแรงขับ เมื่อเกิดพฤติกรรมสนองความต้องการแล้วแรงขับก็จะลดลง
แรงจูงใจในพระพุทธศาสนา เกิดจากปัจจัยสำคัญ ๔ ประการ คือ
1. ภยะ แรงจูงใจที่เกิดจากความกลัว
2.ตัณหา เป็นแรงจูงใจที่เกิดจากความอยากได้ผลตอบแทนต่อการกระทำของตน
3.มานะ เป็นแรงจูงใจที่เกิดจากความอบอุ่น อยากครอบงำ การเอาชนะผู้อื่น
4.ฉันทะ คือแรงจูงใจที่ถูกต้องดีงาม แบ่งออกได้ ๒ ส่วน คือใฝ่รู้ กับใฝ่ดี
               

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น